ชื่อของ วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล อาจไม่ใช่ชื่อของนักแสดงที่ฟังแล้วคุ้นหูที่สุด แต่หากเราบอกว่า “พิช รักแห่งสยาม” แล้วคงจะไม่มีใครไม่รู้จักเขาผ่านผลงานภาพยนตร์ดราม่าวัยรุ่นที่แม้จะผ่านมากว่า 11 ปีแล้ว แต่ผลงานการแสดงของเขาก็ยังตราตรึงใจเราทุกคน ในปี 2018 พิชโตขึ้นอีกหลายขั้นบนเส้นทางการแสดง จากนักแสดงสู่ผู้กำกับการแสดงละครเวที มุมมองชีวิต การปรับตัวของเขาล้วนน่าสนใจ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครที่อยากมองหาการเปลี่ยนแปลง เพราะการปรับตัวเข้ากับยุคสมัยโดยไม่ทิ้งตัวตนเดิม คือเป้าหมายหลักของพิช

ทุกที่คือเวทีให้กับละครเรื่องหนึ่ง
นอกจากรักแห่งสยามที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่พาให้ชีวิตเรามาตามทิศทางนี้ การเข้ามาสู่โลกแห่งละครเวทีไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เปิดโลกเราอีกโลกหนึ่งที่ทำให้เรารู้ความจริงอีกอย่างว่า เราไม่ได้รักแค่การแสดงในบทบาทของคนอื่น แต่เราก็มีความสุขในบทบาทที่เรากำกับเอง เขียนเองได้ และพอจะเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า “นักแสดง” จริงๆ รักแห่งสยามคือส่วนผสมที่ลงตัวของผู้กำกับ และนักแสดงคนอื่นๆ ที่ทำให้เราดึงตัวตนออกมาแสดงได้มันทำให้เรารู้ว่าเราชอบงานแสดงจริงๆ และการแสดงละครเวทีก็เช่นเดียวกัน

เราเริ่มแสดง คลุกคลีกับภาพยนตร์มาเรื่อยๆ มีโอกาสได้ทำหนังสั้นบ้าง เล่นซีรี่ย์บ้าง แต่ก็อยู่ในบทบาทของนักแสดงซะเป็นส่วนใหญ่ พอช่วงประมาณปี 2013 เริ่มมีคนติดต่อเข้ามาให้เล่นละครเวที เราก็สนใจแล้วก็ตอบรับลองไปเล่นดู ลองพลิกชีวิตจากนักแสดงจอเงิน จอแก้ว สู่ม่านเวที ในผลงานแรกอย่าง “ฉุยฉายสเน่หา” พอเล่นแล้วเรารู้สึกได้ถึงความพิเศษ น่าค้นหา น่าสนใจ ความสนุกที่ซ่อนอยู่ของมัน เริ่มได้เจออะไรใหม่ๆ หลายๆ อย่างซึ่งตอนนั้นเราก็ทำควบคู่ไปกับการแสดงชิ้นหลักๆ ด้วย แต่ที่น่าแปลกใจคือ พอได้เริ่มเล่นแล้ว เราก็ไม่ได้หยุดเล่นอีกเลย มันเป็นโอกาสที่เข้ามาแล้วเราก็คว้าไว้ไม่ให้หลุดมือ เพราะเชื่อว่ามันเป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับเราให้คิดเอง ทำเอง เล่นเอง ลองกำกับตัวเอง ไปๆมาๆ ก็ได้คนมาเล่นละครของเรา เราก็มองว่ามันเป็นการพัฒนาเรื่อยๆ ของเรา และมันน่าจะเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้เราพัฒนาไปอีกหลายๆ ขั้น

ในชีวิตนักแสดงก็ไม่ใช่ว่าจะราบรื่นไปทั้งหมดตลอด 11 ปีมานี้ ซึ่งสำหรับเราแล้วความไม่เป็นอย่างใจหวังมันไม่ได้ออกมาในรูปของการไม่มีงานจ้าง การโดนตำหนิ หรือการถูกเอาเปรียบ แต่มันคือการยอมรับสถานะ เพราะเมื่อถึงเวลาที่เราเป็นนักแสดงมีคนรู้จักมากกว่านาย พิช เราก็ถือว่าเราสูญเสียพื้นที่ความเป็นส่วนตัวไปแล้ว ตรงนี้เวลาจะทำอะไร จะพูดอะไรเราก็ต้องคิดมากกว่าเดิม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับใครๆ และรับรู้เราไปต่างๆ นานาซึ่งช่วงแรกเราก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัวได้

ฐานนิยมที่เหนียวแน่นในจีน
สำหรับประเทศจีนแล้ว พิช หรือที่รู้จักกันในชื่อ PCHY ที่นั่น ถือว่าเป็นที่รู้จักมากพอสมควร อาจจะเพราะว่าเส้นของเวลามันเดินทางมาด้วยความเหมาะสม เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมาประเทศจีนเองก็เปิดกว้างมากขึ้นกับสื่อจากต่างประเทศ และประเภทของหนังที่เคยถูกกีดกันในอดีต เช่น ชายรักชาย หนังผี หนังที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นก็ได้รับการยอมรับ ผู้คนเปิดใจกว่าเดิม รวมไปถึงการเข้ามาของอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมโยงให้โลกมันใกล้กันมากขึ้น

“คนจีนชื่นชมเรามาตั้งแต่ผลงานรักแห่งสยามเพราะด้วยบทบาทการแสดง ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกเพราะหนังเรื่องรักแห่งสยามไม่ได้เข้าโรงที่ประเทศจีนเลย แต่ว่ามียอดดาวน์โหลด ยอดวิวสูงสุดในสื่อออนไลน์ของจีนตอนนั้น”
มันก็บอกได้ว่าอะไรที่ไม่ได้ถูกนำเสนอ หรืออะไรที่เราไม่รู้มันไม่ได้แปลว่ามันไม่มี และสำหรับชีวิตนักแสดงที่ไปมีชื่อเสียงที่นั่นก็เป็นอะไรที่เริ่มรับรู้มาเรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญคือเราคิดว่า “การเข้าถึงตัวเรา” มันทำได้ง่ายกว่าดารานักแสดงที่ประเทศจีนมาก ซึ่งจะไม่สามารถไปพบเจอได้ง่ายๆ ตามที่สาธารณะ ผิดกับของไทยที่เจอที่ไหนก็ได้การที่เราทำตัวเหมือนเป็นประชากรคนหนึ่งและความมีลักษณะนิสัยแบบคนไทยที่ยิ้มแย้มและไม่ถือตัว มันน่าจะเป็นสิ่งที่คนจีนเขารับรู้และให้การสนับสนุนเรามาโดยตลอด
“ถ้าพูดในเชิงคอมฟอร์ทโซนของนักแสดง เรามองว่ามันคือการติดอยู่กับบทบาทเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเราไม่อยากจะพลิกบทบาทใหม่ แต่พอการออกมาเจอบทบาทใหม่แม้ว่าจะไม่ใช่แค่ละครเวที แต่จะเป็นละครโทรทัศน์หรืออะไรก็ตาม มันก็ถือเป็นการก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซนเราแล้ว และมันก็จะทำให้เราพัฒนาไปเรื่อยๆ”

คุณค่าในฐานะนักแสดง
จริงๆ แล้วความคิดเราก็ยังเป็นเหมือนเดิม มีจุดยืนแบบเดิม เพียงแต่เราโตขึ้นมากและสามารถลดทิฐิลงได้ และก็มองว่าไม่ควรจะปฏิเสธไปทุกงาน เพราะมันก็ถือเป็นอาชีพของเราเท่านั้นเอง ตอนนั้นก็มีหลายกระแสตั้งคำถามว่าทำไมตอนนั้นเราถึงไม่ยอมออกงาน ไม่รับงานแบบที่คนอื่นเค้าทำกัน เพราะว่ากันว่าจะเป็นบันไดสู่ความก้าวหน้าในสายอาชีพและรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่เราก็คิดมาตลอดว่าทำไมเราต้องทำงานที่ได้ค่าตอบแทนมาแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย

“เราเคยออกงานอีเว้นท์หนึ่งที่แค่ขึ้นไปพูดอะไรไม่กี่คำ โชว์ตัว แล้วก็ได้เงินมาหลายหมื่นบาท เราก็กลับมาคิดว่าการทำงานที่ง่ายแบบนี้แล้วได้เงินเยอะขนาดนี้ คุณค่าของการทำงานมันคืออะไรกันแน่“
เราก็เลยตั้งเป้ามาตลอดว่าจะไม่รับงานประเภทนี้ เพราะอยากให้คนเห็นเราในความสามารถด้านการแสดงมากกว่าการขายหน้าตาและชื่อเสียง ถ้าคนยอมรับในตัวเราเพราะผลงาน เราก็ไม่จำเป็นต้องตอกย้ำให้คนรู้จักด้วยการรับงานลักษณะนี้ก็ได้ อีกอย่างคือเราถูกสอนมาว่าทำงานมันก็ต้องลงแรง ต้องทุ่มสุดตัว ความพยายามแบบนั้นมันจะเกิดผลดีกับตัวเราในอนาคต และเป็นแบบอย่างให้คนอื่นได้ด้วย ว่าไม่ใช่อะไรที่จะได้มาง่ายๆ ไปทุกอย่าง เพราะสุดท้ายแล้วคุณค่าของศิลปิน นักแสดง ก็คือผลงาน ที่เป็นภาพสะท้อนตัวตนของเรา เป็นทั้งเครื่องบันทึกความคิดว่า ณ ตอนนั้นเราคิดยังไง และเราพัฒนาไปแค่ไหน เป็นทั้งตัวแทนของเราที่จะอยู่ตลอดไปไม่ว่าจะอีกกี่สิบปีร้อยปีก็ตาม

มุมมองเรื่องเพศที่หลากหลายกับการแสดงที่เปิดกว้างมากขึ้นในปัจจุบัน
หนังเรื่องรักแห่งสยามจริงๆ แล้วมันจะพูดว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการถ่ายทอดความรัก ความซับซ้อน ความสับสนของเพศได้ไหม ก็น่าจะได้ แต่เรื่องเพศสภาพ หรือพฤติกรรมอะไรพวกนี้มันมีอยู่แล้วมาตั้งแต่อดีตเพียงแต่ว่าไม่มีใครพูดถึงมัน เพราะมันจะดูแปลกหรือไม่เป็นที่ยอมรับมากพอ แต่พอวันหนึ่งมันมีคนพูดถึงและสื่อสารออกมาในมุมที่เป็นมุมมองบวก แล้วผลตอบรับมันออกมาดี ก็เริ่มมีคนพูดมากขึ้น รวมไปถึงการเขียนบทการแสดงตามทีวีหรือภาพยนตร์ที่เราเห็นกันอยู่ตอนนี้ ก็ถือเป็นมิติใหม่ของการเปิดกว้างเรื่องเพศสภาพมากขึ้น ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งในสังคมไทย

พิชกับลีวายส์® มีอะไรที่เหมือนกันบ้าง
ลีวายส์® เป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน อยู่ในทุกๆช่วงเวลาของชีวิตใครหลายคน ซึ่งเราก็อยากให้ตัวเราเป็นได้แบบนั้น เพราะเราไม่ได้ต้องการที่จะโดดเด่นและดับวูบไปอย่างฉาบฉวย แต่ต้องการสร้างงานที่คงอยู่อย่างคลาสสิคสามารถเอาตัวไปอยู่ในงานประเภทไหนมันก็ดีกับทั้งตัวเราทั้งกับตัวคนอื่น ส่งเสริมกันเหมือนลีวายส์® ที่ดูดีในลักษณะที่แตกต่างกันออกไปสำหรับแต่ละคน เราก็มีผลงานหลากหลายแขนง ทั้งนักเขียนบท นักแสดง ผู้กำกับศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลง แต่ความเป็นเราก็ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์ เราถึงอยู่ในวงการบันเทิงมาได้ถึงปัจจุบัน