The Birth
มันไม่ได้เกิดมาเป็นรถสปอร์ตหรู Ford ตั้งใจทำออกมาให้ Mustang เป็นรถสปอร์ตของชนชั้นกลาง โดยราคาในปี 1964 ปีแรกที่ออกขายคือ 2,368 เหรียญ ซึ่งถูกกว่ารถสปอร์ตอื่นๆในตลาดถึงเกือบครึ่ง
ด้วยราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้ บวกกับการโหมโฆษณาอย่างหนักในช่วงแรก (Ford ถึงกับลงโฆษณาในแมกกาซีนให้คนรอชมโฆษณา Mustang ทางโทรทัศน์) ทำให้ยอดขายของ Mustang ในปีนั้นเป็นตัวเลขที่ทำให้ผู้ผลิตเองยังตกใจ โดยมียอดขายมากกว่าสี่แสนคัน จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะขายได้ไม่เกินหนึ่งแสนคันในปีแรก

Creation of the ‘Pony Car’ Class
ด้วยความ ‘ใหม่’ ของ Mustang ทำให้มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคู่แข่งในสามปีแรกที่ออกจำหน่าย และความสำเร็จของมันก็ทำให้ค่ายรถยนต์อื่นๆหวังจะมาแย่งส่วนแบ่งในตลาดที่ Mustang สร้างขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดประเภทรถที่เรียกว่า Pony Car ขึ้นมา โดยเป็นรถสปอร์ตอเมริกันสองประตู หน้ายาว ท้ายสั้น และมีกระจังหน้าแบบ “อ้าปาก” ซึ่งคู่แข่งรายสำคัญของ Mustang ก็คือ Chevrolet Camaro


Becoming a Movie Star
ถึง Mustang จะไม่ได้เกิดมาเป็นรถหรู แต่รูปลักษณ์ที่โดดเด่นก็ได้พาให้มันกลายเป็นดาราภาพยนตร์ โดยในปี 1964 ได้ไปไล่กวดกับรถของ James Bond ในเรื่อง Goldfinger และในปี 1968 มันก็ได้ไปเป็นตัวเอก (รองจาก Steve McQueen) ในฉากการไล่ล่าด้วยรถยนต์ที่โด่งดังฉากหนึ่งของฮอลลิวูดจากเรื่อง Bullit หลังจากนั้นเป็นต้นมา Mustang ก็ได้ปรากฏตัวในหนังฮอลลีวูดเป็นประจำ โดยบางครั้งถึงกับเป็นตัวละครหลักเลยทีเดียว อย่างเช่นใน Gone in Sixty Seconds ทั้งฉบับดั้งเดิมในปี 1974 และฉบับทำใหม่ในปี 2000

The Shelby Mustang
หลังจากประสบความสำเร็จทางการตลาดแล้ว สิ่งที่ Mustang ยังต้องการในฐานะรถสปอร์ตก็คือการวิ่งผ่านธงตราหมากรุกในสนามแข่ง เพื่อการนี้ Ford ได้ติดต่อไปยัง Caroll Shelby ให้นำ Mustang ไปทำให้มีสมรรถนะสูงขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้นั้นนอกจากจะเป็นถ้วยรางวัลจากการแข่งขันมากมาย ยังได้ยานยนต์ที่มีรูปทรงและรายละเอียดอันน่าหลงใหล ดังเช่น 1965 Shelby Mustang GT350 คันนี้

